Exchange Program (Maple Program) Fall 2020-Spring 2021, Osaka University, Japan
ดิฉันนางสาวธนัชชา เกลี้ยงสอาด
นิสิตคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาวรรณคดีไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะที่ดิฉันเป็นผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการเมเปิ้ลโปรแกรม
ได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยโอซาก้าเป็นเวลา 11 เดือน
ดิฉันจะมาเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างแดนให้ทุกท่านทราบ
อย่างที่ทราบกันดีว่าในปีพุทธศักราช 2563 สถานการณ์โควิด 19 ไม่สู้ดีนัก
ดิฉันที่สมัครเข้าโครงการแลกเปลี่ยนในปีนั้นจึงพบเจออุปสรรคมากมาย
ตั้งแต่ตอนสมัครเข้าร่วมโครงการไปจนถึงตอนบินกลับมายังประเทศไทย
มากเสียจนคิดว่าอาจไม่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่นเสียแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรดิฉันก็ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเมเปิ้ลโปรแกรมของมหาวิทยาลัยโอซาก้าอย่างไม่ลังเล
เพราะไม่ใช่โอกาสที่จะหาได้ง่าย ๆ
เลยที่นิสิตสาขาวิชาวรรณคดีไทยผู้ซึ่งไม่ได้เรียนสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นอย่างดิฉันจะมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น
ทุกคนคงจะสงสัยว่านิสิตที่ไม่ได้เรียนเอกภาษาญี่ปุ่นสามารถผ่านโครงการนี้ไปได้อย่างไร
ดิฉันจะอธิบายให้ทุกท่านทราบดังต่อไปนี้
เริ่มแรกดิฉันได้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครโครงการเมเปิ้ลโปรแกรม
ความเห็นส่วนตัวดิฉันคิดว่าเป็นโครงการที่ดีมากเพราะไม่ว่าจะเรียนสาขาวิชาใดหากมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ
N4
ขึ้นไปก็สามารถสมัครได้
และหากคุณมีผลการเรียนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดคุณก็สามารถเข้าชิงทุนการศึกษาของ JASSO
ได้
หากคุณสมบัติข้อนี้ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไรหากว่ามีทุนทรัพย์มากพอที่จะใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นได้
ซึ่งดิฉันโชคดีมากที่ผ่านคุณสมบัติและได้รับทุนการศึกษานี้ ทุนของ JASSO จะให้แก่นักเรียนที่อยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น เดือนละ 8,000 เยน
เป็นจำนวนเงินที่สามารถช่วยดิฉันได้อย่างมากสำหรับการใช้ชีวิตในต่างแดน
ในช่วงเริ่มแรกหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการสมัครทั้งหมดแล้ว เนื่องจากสถานการณ์โควิดยังไม่ดีขึ้น ญี่ปุ่นก็ยังไม่อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่านักเรียนเข้าประเทศ ดิฉันจึงต้องเข้าฟังการปฐมนิเทศโดยใช้ zoom และเรียนออนไลน์โดยใช้เว็บไซต์ของทางมหาลัยโอซาก้าและ zoom เป็นหลัก ทางมหาวิทยาลัยได้ส่งหนังสือที่จำเป็นต่อการเรียนจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทย ดิฉันประทับใจอย่างมากกับความใส่ใจของครูอาจารย์ที่นั่น แม้ว่าในช่วงแรกจะลำบากมากในการนัดเวลาเพื่อปรึกษาเรื่องงานกลุ่มกันเพราะมีนักเรียนจากทั่วโลก เวลาที่สะดวกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เหล่าครูอาจารย์ก็พยายามหาเวลาที่ทุกคนสะดวกที่สุดและเป็นคนกลางเพื่อให้ทุกคนกล้าใช้ภาษาญี่ปุ่นคุยกัน
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นอนุญาตให้ผู้ถือวีซ่านักเรียนเดินทางเข้าประเทศได้แล้ว ดิฉันก็รีบเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะต้องกักตัว 14 วันก็ตาม การกักตัวตามมาตรการของประเทศญี่ปุ่นแตกต่างจากประเทศไทยมาก กักตัวที่ญี่ปุ่นสามารถเดินออกไปซื้ออาหารที่มินิมาร์ทที่ใกล้ที่สุดได้ อย่างไรก็ตามในตอนนั้นดิฉันกลัวว่าตนเองจะติดเชื้อและอาจไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนได้ ดิฉันจึงออกไปข้างนอกเพื่อซื้ออาหารเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งเท่านั้น ตอนที่ดิฉันไปถึงเป็นช่วงเข้าฤดูหนาวพอดี น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ดิฉันไม่เคยได้เห็นใบเมเปิ้ลสีแดงเลย แม้ว่าโครงการที่ดิฉันเข้าร่วมจะเป็นเมเปิ้ลโปรแกรมก็ตาม
หลังจากกักตัว 14 วันดิฉันก็ได้เดินทางไปยังมิโนแคมปัส วิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยโอซาก้า เป็นวิทยาเขตที่ดิฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะย้ายไปมิโนแคมปัสใหม่ซึ่งดิฉันจะกล่าวถึงในภายหลัง ช่วงเวลาที่ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ที่วิทยาเขตนี้เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก ได้พบเจอเพื่อนใหม่ ๆ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ในช่วงแรกดิฉันกลัวนิดหน่อยเพราะไม่รู้จักใครที่นั่นเลย แต่พอได้ทำความรู้จักกับทุกคนแล้วดิฉันก็ได้มีช่วงเวลาที่แสนวิเศษ มิตรภาพใหม่ ความรู้ใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่
ดิฉันจะกล่าวถึงการเรียนที่มหาวิทยาลัยโอซาก้าก่อนจะกล่าวถึงการใช้ชีวิตในหอพักมหาวิทยาลัย การเรียนการสอนของที่นี่ในสถานการณ์โควิดเป็นการสอนแบบ hybrid คือคนที่สามารถมาเข้าร่วมชั้นเรียนได้ก็เรียนแบบออนไซต์ ส่วนคนที่ยังไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนได้ก็เรียนแบบออนไลน์ ในเทอมแรกยังไม่สามารถเลือกวิชาเรียนเองได้ แต่ดิฉันก็ชอบทุกวิชาที่มีโอกาสได้เรียนในเทอมนี้ โดยเฉพาะวิชาโฉะโด (書道) เป็นวิชาฝึกเขียนพู่กันญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีวิชาการแสดงญี่ปุ่น เทศกาลของญี่ปุ่นอีกด้วย อาจารย์ทุกคนใจดีและตั้งใจสอนเป็นอย่างมาก
ชีวิตความเป็นอยู่ที่หอดิฉันสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเลยว่าสนุกมาก หอที่ดิฉันอยู่คือหอ 2 หอนี้มีห้องน้ำส่วนตัว และมีครัวส่วนรวม นั่นทำให้ดิฉันและเพื่อน ๆ ช่วยกันทำอาหารแทบจะทุกวัน นั่งสนทนากันแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปซื้อของจากลามูซึ่งเป็นซุปเปอร์ที่ราคาถูกที่สุดในโอซาก้า ไปนั่งทานขนมปังและเค้กที่ร้านริคุโร เวลาว่างบางครั้งก็เตะฟุตบอล(แม้ว่าส่วนมากดิฉันจะนั่งดูเฉย ๆ ก็ตาม) หรือตีแบดด้วยกัน เวลาที่ดิฉันนั่งเขียนพู่กันอยู่ตรงบริเวณที่ส่วนกลาง เพื่อน ๆ ก็มักจะมานั่งคุยด้วย แม้เวลาที่อยู่ที่นี่จะไม่นานนักแต่ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ดิฉันจะจดจำไปตลอด
ต่อมาเมื่อย้ายจากแคมปัสเก่าไปยังมิโนแคมปัสใหม่วิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ค่าหอพักใหม่รวมค่าสาธารณูปโภคประมาณเดือนละ 48000 เยน ทุนที่ดิฉันได้เดือนละ 80000 เยนไม่เพียงพอ เพื่อนหลายคนก็เริ่มทำงานพิเศษกัน หอพักใหม่นี้มีทุกอย่างครบครันในห้องทั้งครัวและห้องน้ำ เป็นหอที่ทันสมัยมากเสียจนคาดไม่ถึงสมกับราคาแสนแพง ดิฉันชอบหอใหม่นี้มากแต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงครัวรวมที่หอเก่า ตึกเรียนในแคมปัสใหม่ก็ทันสมัยไม่แพ้กัน ระบบการเรียนการสอนยังคงไม่ต่างจากเดิม ผู้ที่สามารถเข้าร่วมชั้นเรียนได้ก็เข้า ผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ก็สามารถเรียนออนไลน์ได้
ในเทอมที่ 2 นี้ดิฉันได้มีโอกาสเลือกวิชาที่เรียนเอง นักเรียนทุกคนที่เป็นเมเปิ้ลโปรแกรมจะต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบ 30 หน่วยกิตเพราะเหตุนั้นจึงต้องคิดให้ดี ๆ ก่อนจะลงเรียนวิชาอะไร และไม่สามารถแอดวิชาเพิ่มได้หลังจากเริ่มเรียนแล้ว สามารถดรอปได้เท่านั้น ในเทอมนี้ดิฉันได้เลือกวิชาวรรณคดีญี่ปุ่นไปด้วยเพราะเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาเอกของดิฉัน มีหนึ่งวิชาที่ทุกคนในเมเปิ้ลโปรแกรมจะต้องเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือวิชา MDR เป็นการคิดโปรเจคเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่แต่ละกลุ่มสนใจ ต้องเรียนวิชานี้ทั้งสองเทอม แต่เพื่อนร่วมกลุ่มในแต่ละเทอมก็จะต้องสลับสับเปลี่ยนกันไปเพื่อที่ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกัน และเรียนรู้การทำงานกลุ่มกับคนที่ไม่สนิท ในวันปิดชั้นเรียน MDR ของเทอม 2 นี้ทุกกลุ่มจะนำเสนอผลงานของกลุ่มตัวเองให้ทุกคนในโปรแกรมดู เป็นวันที่ดิฉันโล่งใจที่สุด เพราะเป็นวันที่สิ้นสุดงานใหญ่เสียที
ในวันจบการศึกษานักเรียนทุกคนจะใส่ชุดอะไรก็ได้
เป็นงานที่บรรยากาศสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด ทุกคนมีทั้งความสุขที่ได้จบการศึกษา
เศร้าที่จะต้องกลับประเทศตนเอง และต้องบอกลาเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ หลาย ๆ
คนใส่ชุดประจำชาติ โดยส่วนตัวดิฉันเองเลือกใส่ชุดที่ตนเองชอบ เป็นวันจบการศึกษาที่สนุกมาก
สุดท้ายนี้ถึงผู้ที่อยากเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเมเปิ้ลโปรแกรมหรือโครงการใดก็ตาม
หากคุณมีความพร้อมละก็อย่าลังเลที่จะไป
เป็นประสบการณ์ที่คุณจะจดจำไม่ลืมและสิ่งที่ได้กลับมาก็คุ้มค่ามาก
ประสบการณ์ชีวิตที่จะหาที่ไหนไม่ได้อีก การใช้ชีวิตในต่างแดน
ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้
เป็นประสบการณ์ในญี่ปุ่นที่ต่างจากการไปเที่ยวอย่างแน่นอน